เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ ในเดือนตุลาคม 60 นี้เราต้องทำอะไรบ้าง
เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ ในเดือนตุลาคม 2560 ที่จะถึงนี้ เดือนตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 สิ่งที่พวกเรานักพัฒนาชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดำเนินการก็คือ การตรวจสอบว่า ผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยความพิการ เขามีสิทธิรับเงินตามระเบียบข้อ 6 หรือไม่ (ส่วนระเบียบข้อ 7 มีการแก้ไขใหม่ตามระเบียบฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 บอกเรื่องของการลงทะเบียน ท่านทั้งหลายคงได้อ่านแล้ว)
คลิกอ่านระเบียบเบี้ยยังชีพฉบับสองได้ที่นี่
ตรวจสอบว่า ผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยความพิการ เขาเสียชีวิตหรือยัง รวมถึง ให้เขาเหล่านั้นแจ้งความประสงค์กับเราว่า เขาจะรับเงินเบี้ยยังชีพด้วยวิธีไหน ระหว่าง รับเงินสดด้วยตัวเอง รับเงินสดโดยการมอบอำนาจ รับเงินผ่านธนาคารในชื่อบัญชีตัวเอง หรือรับเงินผ่านธนาคารด้วยการโอนไปในบัญชีของผู้รับมอบอำนาจ
ทำไมถึงต้องทำในเดือนตุลาคม
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 ข้อ 10 บอกไว้ว่า “ภายในเดือนตุลาคมของทุกปี ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบสถานะของผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และให้ผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแสดงการดำรงชีวิตอยู่ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยจะแสดงด้วยตนเองหรือให้มีการรับรองของนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
ในกรณีที่ผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไม่ได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตรวจสอบการดำรงชีวิตอยู่ของผู้สูงอายุดังกล่าว จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร หรือหลักฐานอื่นที่มีสามารถตรวจสอบได้”
และ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยความพิการให้คนพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ข้อ 10 บอกว่า “ภายในเดือนตุลาคมของทุกปี ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบสถานะความพิการ และการดำรงชีวิตอยู่ของคนพิการ”
การตรวจสอบว่าเขามีสิทธิรับเงินหรือไม่
เขาในที่นี้หมายถึง ผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยความพิการ นะครับ ซึ่งในระเบียบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ปี 52 บอกคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพไว้ในข้อ 6 ว่าต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามคือ
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามทะเบียนบ้าน
(3) มีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งได้ลงทะเบียนและยื่นคำขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(4) ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดให้เป็นประจำ ยกเว้นผู้พิการและผู้ป่วยเอดส์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อสังเกตคือ ข้อ (2) ไม่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติข้อนี้ก็ได้นะครับ เพราะตอนที่เขามาลงทะเบียนเป็นการลงทะเบียนล่วงหน้า เขาลงทะเบียนเสร็จเขาย้ายไปที่อื่นเขาก็รับเงินเบี้ยยังชีพกับเราอยู่นั่นเอง
ส่วนระเบียบเบี้ยความพิการ ปี 53 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 ปี 59 บอกคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยความพิการ ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามคือ
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามทะเบียนบ้าน
(3) มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ
(4) ไม่เป็นบุคคลซึ่งอยู่ในความอุปการะของสถานสงเคราะห์ของรัฐ
วิธีการตรวจสอบที่พวกเรานักพัฒนาชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนมากทำกันก็คือ ออกหนังสือประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ มาแสดงตนตามสถานที่ที่กำหนด บาง อปท. อาจจะลงพื้นที่ไปรับแสดงตนกันถึงที่ บางแห่งก็อาจจะแจ้งให้ผู้สูงอายุ และคนพิการมาแสดงตนที่สำนักงาน อปท.แห่งนั้น
ใครที่ยังไม่ทราบว่า การแสดงตนเพื่อรับเบี้ยยังชีพ ต้องทำยังไงบ้าง แนะนำให้ไปอ่านเรื่อง การแสดงตน ก่อนเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นครับ การแสดงตนในแต่ละพื้นที่ทำไม่เหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคการบริหารจัดการของใครของมัน บางแห่งตรวจสอบจากทะเบียนราษฎร์ก็พอแล้ว บางแห่งเรียกเฉพาะกลุ่มที่รับเงินผ่านทางธนาคารมาเพราะมองว่ากลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะผิดพลาด บางแห่งเรียกเฉพาะคนพิการเท่านั้นก็มี
ที่สำคัญคือ ตรวจสอบว่า ผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพ เสียชีวิตแล้วหรือยัง
แล้วถ้าเราตรวจสอบเจอล่ะ เราจะทำยังไง ก็เรียกเงินคืนสิครับ พอตอบไปอย่างนี้หลายคนบอกว่า งั้นทำไมไม่ทำการตรวจสอบคุณสมบัติและตรวจสอบสถานะในเดือนก่อนตุลาคมล่ะ ในเมื่อถ้าตรวจเจอข้อผิดพลาดเรายังต้องเรียกเงินคืน แล้วการเรียกเงินคืนมันทำง่ายแต่มักไม่ค่อยได้คืน แต่ถ้าเราทำก่อนเดือนตุลาคม พอเราจ่ายเงินเราก็ป้องกันได้ ไม่ว่ากันครับ ฮา ฮา
นักพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รองประธาน ชมรมพัฒนาชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย)
ลูกของแม่ และเพื่อนของท่าน